วิศวกรรมเมคคาทรอนิกส์
วิศวกรรมแมคคาทรอนิกส์คืออะไร
วิศวกรรมแมคคาทรอนิกส์ (Mechatronics
Engineering) เป็นสวิทยาการเชิงประยุกต์
ที่นำวิชาพื้นฐานหลักว่าด้วย วิศวกรรมเครื่องกล วิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์
วิศวกรรมการควบคุมอัตโนมัติ วิทยาการคอมพิวเตอร์
และเทคโนโลยีสารสนเทศมาบูรณาการเข้าด้วยกันเพื่อการออกแบบและสร้างผลิตชิ้นส่วนและผลิตภัณฑ์
เมื่อ เทคโนโลยี ก้าวหน้าขึ้น สาขาย่อยของ
วิศวกรรม ก็ขยายและพัฒนา จุดประสงค์ของแมคคาทรอนิกส์จึงเป็นกระบวนการออกแบบที่รวมเป็นหนึ่งเดียวของสาขาย่อยเหล่านี้
แต่เดิม แมคคาทรอนิกส์ได้รวมแค่แมคคานิกส์และอิเล็กทรอนิกส์เท่านั้น
ดังนั้นคำว่าแมคคาทรอนิกส์จึงเป็นคำผสมของ แมคคา และ ทรอนิกส์ อย่างไรก็ตาม
เมื่อระบบด้านเทคนิคมีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ คำ ๆ นี้จึงถูกขยายความให้รวมถึงพื้นที่ทางเทคนิคมากยิ่งขึ้น
คำว่า "แมคคาทรอนิกส์" มีจุดเริ่มต้นในภาษา Japanese-English และถูกริเริ่มโดยนาย Tetsuro Mori วิศวกรจากบริษัท Yaskawa Electric Corporation คำนี้ถูกลงทะเบียนเป็น เครื่องหมายการค้า โดยบริษัทในญี่ปุ่นด้วยทะเบียนหมายเลข "46-32714" ในปี 1971 อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นบริษัทได้สละสิทธ์การใช้ในสาธารณะ คำนี้จึงขยายออกไปทั่วโลก ในปัจจุบันคำนี้ถูกแปลเป็นภาษาอื่นและได้รับการพิจารณาว่าเป็นคำสำคัญในอุตสาหกรรม
มาตรฐานของฝรั่งเศส NF
E 01-010 ให้คำนิยามต่อไปนี้: “ดำเนินการในจุดประสงค์เพื่อบูรณาการอย่างเสริมประสานกันของทฤษฎีกลไก,
อิเล็กทรอนิกส์, ควบคุม, และวิทยาการคอมพิวเตอร์ภายในการออกแบบและการผลิตผลิตภัณฑ์, เพื่อที่จะปรับปรุงหรือให้ประโยชน์สูงสุดของหน้าที่การทำงานของมัน
คนจำนวนมากปฏิบัติต่อ
"แมคคาทรอนิกส์" เหมือนกับเป็นคำศัพท์เฉพาะที่ทันสมัยที่พ้องกับคำว่า
"วิศวกรรมไฟฟ้าเครื่องกล"หุ่นยนต์เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการประยุกต์ใช้แมคคาทรอนิกส์ตัวอย่างผลงานที่สร้างจากสาขาวิชานี้ได้แก่
“ระบบอัจฉริยะ” (Intelligent Systems) ซึ่งมีกลไกที่สามารถทำงานด้วยตัวเองโดยอัตโนมัติ
ตามความต้องการที่กำหนดไว้ได้อย่างรวดเร็ว ถูกต้องและแม่นยำ
ตัวอย่างของระบบที่มีระบบแมคคาทรอนิกส์เป็นส่วนประกอบ เช่น หุ่นยนต์อุตสาหกรรม
หุ่นยนต์กู้ภัย และอาคารอัจฉริยะ เป็นต้น
เเมคคาทรอนิกส์(Mechatronics Engineer)เรียนเกี่ยวกับอะไร ?
สาขาวิชาเมคคาทรอนิกส์ศึกษาความสัมพันธ์ของศาสตร์แขนงต่างๆ ดังกล่าวข้างต้น อย่างเป็นระบบเพื่อนำความรู้ความเข้าใจไปใช้สร้าง “ผลิตภัณฑ์อันชาญฉลาด” (Smart Product) หรือ “ระบบอัจฉริยะ” (Intelligent Systems) ซึ่งจะมีกลไกที่สามารถทำงานด้วยตัวของมันเองอย่างอัตโนมัติตามความต้องการที่กำหนดไว้อย่างรวดเร็ว ถูกต้องและแม่นยำ สามารถนำไปประยุกต์ใช้งานได้อย่างกว้างขวางในด้านต่างๆ เป็นต้นว่า หุ่นยนต์อุตสาหกรรม หุ่นยนต์กู้ภัย อาคารอัจฉริยะ สมองกลรักษาโรค รวมถึงเทคโนโลยีทางวิศวกรรมสมัยใหม่อื่นๆ อีกมากมาย
เรียนจบแล้วสามารถประกอบอาชีพอะไรได้บ้าง ?
- ช่างเทคนิค ผู้ออกแบบนักวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือระบบอัตโนมัติให้กับสินค้าเทคโนโลยีชั้นนำต่างๆ
- ช่างเทคนิคควบคุมการใช้และดูแลรักษาเทคโนโลยีในระบบอัตโนมัติที่ใช้ในโรงงานและอาคารพานิชยกรรม
เรียนจบแล้วสามารถทำงานที่ไหนได้บ้าง ?
สามารถทำงานในภาคอุตสาหกรรมที่ต้องใช้ระบบและเครื่องจักรกลอัตโนมัติเพื่อการผลิต หรือประกอบเช่น ยานยนต์ อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า หรือในหน่วยงานภาครัฐ และเอกชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ
เเมคคาทรอนิกส์(Mechatronics Engineer)เรียนเกี่ยวกับอะไร ?
สาขาวิชาเมคคาทรอนิกส์ศึกษาความสัมพันธ์ของศาสตร์แขนงต่างๆ ดังกล่าวข้างต้น อย่างเป็นระบบเพื่อนำความรู้ความเข้าใจไปใช้สร้าง “ผลิตภัณฑ์อันชาญฉลาด” (Smart Product) หรือ “ระบบอัจฉริยะ” (Intelligent Systems) ซึ่งจะมีกลไกที่สามารถทำงานด้วยตัวของมันเองอย่างอัตโนมัติตามความต้องการที่กำหนดไว้อย่างรวดเร็ว ถูกต้องและแม่นยำ สามารถนำไปประยุกต์ใช้งานได้อย่างกว้างขวางในด้านต่างๆ เป็นต้นว่า หุ่นยนต์อุตสาหกรรม หุ่นยนต์กู้ภัย อาคารอัจฉริยะ สมองกลรักษาโรค รวมถึงเทคโนโลยีทางวิศวกรรมสมัยใหม่อื่นๆ อีกมากมาย
เรียนจบแล้วสามารถประกอบอาชีพอะไรได้บ้าง ?
- ช่างเทคนิค ผู้ออกแบบนักวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือระบบอัตโนมัติให้กับสินค้าเทคโนโลยีชั้นนำต่างๆ
- ช่างเทคนิคควบคุมการใช้และดูแลรักษาเทคโนโลยีในระบบอัตโนมัติที่ใช้ในโรงงานและอาคารพานิชยกรรม
เรียนจบแล้วสามารถทำงานที่ไหนได้บ้าง ?
สามารถทำงานในภาคอุตสาหกรรมที่ต้องใช้ระบบและเครื่องจักรกลอัตโนมัติเพื่อการผลิต หรือประกอบเช่น ยานยนต์ อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า หรือในหน่วยงานภาครัฐ และเอกชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ
หลักสูตรการสอนในประเทศไทย
คุณสมบัติทั่วไปของวิศวกรแมคคาทรอนิกส์
(Mechatronics
Engineer)
1. ความคิดสร้างสรรค์ ในแง่ของการทำงานเราอาจจะต้องเจอปัญหาหรืออุปสรรค
ความคิดสร้างสรรค์จึงเป็นตัวช่วยสำคัญที่จะทำให้เรามองหาวิธีการใหม่ในการทำงาน
หรือหลุดพ้นจากปัญหาเหล่านั้นไปได้
2. ความสามารถในการสื่อสาร
เนื่องจากวิศวกรต้องทำงานเป็นทีมร่วมกับผู้อื่น มักจะมีทั้งผู้ร่วมงาน เจ้านาย
และลูกน้อง หากวิศวกรคนใดไม่สามารถพูดหรือเขียนให้คนอื่นเข้าใจได้
หรือนำเสนองานหรือไอเดียให้คนอื่นเข้าใจและเห็นด้วยตามเหตุผลแล้ว
ความรู้ที่ วิศวกรคนนั้นมีก็อาจจะไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้มากนัก
3. ความรู้ทางคณิตศาสตร์ เป็นปัจจัยสำคัญในการทำงานด้านวิศวกร เราจึงต้องมีความรู้ความเข้าใจในด้านนี้ เพราะเราต้องนำความซับซ้อนทางคณิตศาสตร์มาช่วยในการคิดวิเคราะห์เกี่ยวกับตัวงานที่เราทำ และยังต้องนำมาช่วยในการออกแบบแนวทางการแก้ปัญหาให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุดด้วย
4. การทำงานเป็นทีม
ความรู้ความสามารถส่วนบุคคลอาจไม่เพียงพอเพราะการทำงานที่ดี
และสำเร็จไปได้ด้วยดีนั้น เราจำเป็นต้องทำงานร่วมกับคนอื่นได้ด้วย
ต้องรับรู้และรับฟังความคิดเห็นของคนอื่นด้วยเช่นกัน
การทำงานเป็นทีมจะทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น
เพราะสมาชิกในทีมได้ช่วยกันทำงาน เมื่อการทำงานประสบความสำเร็จ ทุกคนในทีมก็จะเกิดความภาคภูมิใจ
5. ทักษะภาษาอังกฤษ
วิศวกรจำเป็นต้องมีทักษะการใช้ภาษาอังกฤษในระดับที่สามารถสื่อสารได้เข้าใจ
เพราะในปัจจุบัน วิศวกรส่วนใหญ่ต้องทำงานกับบริษัทต่างชาติ
หรือต้องติดต่อกับลูกค้าที่เป็นชาวต่างชาติมากขึ้น
ดังนั้นภาษาอังกฤษจึงเป็นสิ่งสำคัญ หากสื่อสารกันไม่ได้
จะทำให้เป็นอุปสรรคในการทำงานได้
ผู้ที่ทำงานด้านวิศวกรจึงต้องฝึกฝนการใช้ภาษาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
6. ความสามารถในการเรียนรู้ด้วยตัวเอง เทคโนโลยีที่ทันสมัยเกิดขึ้นและเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา วิศวกรจึงต้องเพิ่มทักษะการทำงาน โดยต้องมีความสามารถในการเรียนรู้ด้วยตัวเอง อีกทั้งวิศวกรที่ดีควรแสวงหาความรู้ด้วยตัวเอง เพื่อจะได้นำมาประยุกต์ใช้กับการทำงานได้ โดยไม่ต้องรอความช่วยเหลือจากใคร แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น วิศวกรก็ต้องตามความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีให้ทัน เพื่อจะได้เป็นวิศวกรที่มีคุณภาพ
7. ความสามารถในการแก้ปัญหา
ทักษะการแก้ปัญหาเป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้ทักษะข้ออื่นๆ เพราะการแก้ปัญหาและหาคำตอบ
เป็นส่วนหนึ่งของงานวิศวกรเพราะเราต้องไล่เรียงให้ได้ว่าปัญหาเกิดจากอะไร
แล้วเราจะมีแก้ปัญหาอย่างไรให้กับสิ่ง ๆ นี้
ทักษะด้านนี้อาจจะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก แต่วิศวกรมือใหม่หลายๆ
คนสามารถเรียนรู้ได้จากรุ่นพี่ หรือนำปัญหานี้ไปปรึกษากับวิศวกรคนอื่น
ทักษะการแก้ปัญหาสามารถฝึกฝนกันได้
และประสบการณ์จะเพิ่มมากขึ้นจนเกิดเป็นความชำนาญ
8. ยึดหลักธรรมาภิบาลในการทำงาน
หลักธรรมาภิบาลถูกพูดถึงอย่างแพร่หลาย เพราะสามารถนำมาช่วยส่งเสริมและสร้างสรรค์องค์กรให้มีประสิทธิภาพในการบริหารงานได้
วิศวกรสามารถนำหลักการนี้ มาช่วยในการทำงานได้
ไม่ว่าจะเป็นการทำงานที่เน้นหลักความโปร่งใส และมีคุณธรรมในการทำงาน
ไม่ใช่ทำงานโดยไม่ใส่ใจว่าผู้บริโภคจะเป็นอย่างไร เพียงแค่ทำงานให้เสร็จแล้วก็แล้วกันไป
credit:
VDO แนะนำตัวเอง
Comments
Post a Comment